วันเสาร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2560

นิทานโปรด : ไอ้ลูกเต่ากับสาวใจบุญ

        มีนิทานเรื่องหนึ่งผมชอบมาก ผมจำไม่ได้ว่าฟังมาจากไหน? คับคล้ายคับคลาว่าอ่านมาจากเรื่องตลกที่เขาแชร์กันเล่นบนเฟซบุ๊ค หรือไม่ก็ในตลกคาเฟ่ที่เขาอัดวีดีโอลงเทปลงแผ่นแล้วเขามาโพสต์ในยูทูปอีกที ก็ไม่แน่ใจนัก !!! แต่เอาเป็นว่ามันทั้งสนุกสนานมีและมีสาระให้ครบทั้งความรู้และความบันเทิงตามมาตรฐานของนิทานที่ดีครับ

  เรื่องมันมีอยู่ทำนองว่า กาลครั้งหนึ่งไม่รู้นานมาแล้วขนาดไหน ... 
มีหญิงสาวใจบุญคนหนึ่งกำลังเดินทาง 
ในระหว่างทางนั้นเธอได้พบกับเต่าน้อยตัวหนึ่ง
คลานต้วมเตี้ยมอยู่กลางถนน 
ข้างๆทางนั้นมีสระน้ำอยู่ไม่ไกลนัก หญิงสาวเหลือบไปเห็นสระเข้า 
เธอก็คิดเข้าใจในทันใดว่าเจ้าเต่าน้อยตัวนั้น
คงกำลังเดินไปสระน้ำสระนั้นอย่างแน่นอน
ด้วยความเมตตาเธอรีบเข้าไปโอบอุ้มลูกเต่าตัวน้อยอย่างไม่รังเกียจ
เธอได้จับเอาเต่าไปปล่อยในสระ ผลบุญจากการช่วยเหลือสัตว์
ดลให้เธอรู้สึกอิ่มเอมใจไม่มีประมาณ


นิทานดูเหมือนจะจบแต่เพียงเท่านี้ แต่จริงยังไม่จบ !
เรื่องเขาเล่าต่อไปว่า ...

ฝ่ายเจ้าเต่าน้อยที่ได้รับการช่วยไว้ ได้ออกปากบ่นอุบอิบเป็นภาษาเต่า
ที่แปลออกมาเป็นภาษาคน ตามไสตล์บุคคลาฐิษฐาน (Personification)
ในนิทานว่า

"โถ่วเอ๊ย ! กูอุตส่าห์เดินตั้งครึ่งวัน พากูกลับมาที่เดินซะงั้น !!! *****"

นิทานจบแค่นั้นแบบขำๆไม่ได้ลงท้ายเหมือนนิทานอีสปที่มักจบด้วยการบอกว่า 
"นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ....." ผมเลยชอบมันชวนให้เราไปขบคิดกันเองว่านอกจากความฮาแล้ว
เราได้อะไรจากนิทานตลกเรื่องนี้ เป็นสิทธิ์ของแต่ละคนที่จะคิด จะสะท้อนความเห็น
ตกตะกอนสาระที่ได้จากเรื่องเล่า ตามมุมมอง ตามความคิดของแต่ละคน

อย่างผมเองคิดว่า นิทานเรื่องนี้สอนผมว่าเจตนาดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีสติปัญญาด้วยเวลาจะช่วยอะไรใคร และเราเองไม่ควรจะปล่อยให้ความดีงามมาครอบงำใจมากเกินไปนักจนบดบังสติปัญญาชนิดที่ว่าไม่เอาใจเขามาใส่เรา เวลาเราคิดช่วยเหลือใครขึ้นมาบางทีเรามักจะก็ทำไปในนามของความจริง ความดี ความงาม อุดมการณ์ที่เราสมาทานไว้ จนมันครอบงำเราอยู่ พอทำความดีช่วยคนออกไปก็เลยไม่คิดว่าจริงๆแล้วเขาอยากรับความช่วยเหลือเราจริงๆหรือเปล่า เรากำลังทำให้คนที่เราจะช่วยรู้สึกถูกเหยียดให้ด้อยไปหรือเปล่า อะไรทำนองนี้นะครับ 

เคยเจอหลายครั้งเวลาผมไม่เห็นด้วยกับเพื่อนร่วมงาน  มีความเห็นแย้งกัน  ก็จะมีเพื่อนที่คอยประสานความสัมพันธ์ทำหน้าที่คล้ายๆคนกลาง มาย้ำเตือนให้ฟังว่า เพื่อนๆพี่เขาทำไปเพราะ "เจตนาดี" ฟังแบบนี้แล้วผมก็ถอนใจนะครับ แต่ไม่พูดอะไรต่อ ผมทำได้แค่แอบคิดในใจเบาๆว่า "เจตนาดีอย่างเดียวมันไม่พออะ!"

ผู้อ่านละครับ คิดว่าท่านได้เรียนรู้อะไรจากนิทานเรื่องนี้ ? เมนต์ตอบข้างล่างได้ ถ้ามีอะไรอยากแย้งอยากเสริมอยากเพิ่ม ก็เชิญได้ตามสบายเลยครับ แม้แต่ด่าก็ได้นะครับแต่อย่าแรง

ปล. รูปเต่าหินแบกคัมภีร์ที่ยกมา นอกจากมีเต่าเหมือนในนิทานแล้ว ก็คงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขียนมาเท่าไร แต่เพราะเป็นรูปปริศนาธรรมที่ผมชอบ เห็นครั้งแรกเขาเขียนไว้ที่สวนโมกข์ สอนคนรู้ธรรมะมากแต่ไม่ได้ประโยชน์จากความรู้เปรียบเหมือนเต่าหินตาบอดแบกคัมภีร์เอาไว้ แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากเนื้อสาระในคัมภีร์ เห็นภาพนี้แล้วมันเตือนใจดี บางทีเผลอๆรู้มากเข้าเราก็เป็นเหมือนเต่านี้ได้ทุกเวลา

ตามไปดูรูปต้นฉบับและอ่านกลอนปริศนาธรรมประกอบภาพได้ตามลิงค์ด้านล่างนี้ครับ
http://www.rosenini.com/spiritualtheatre/07.htm



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น